การลงทุนในกองทุนรวม เหมือนจะง่าย แต่ถ้าศึกษาแบบเข้าใจจริงๆนั้นถือว่ามีรายละเอียดอยู่เหมือนกัน เช่น กองทุนที่ปันผลจะดีกว่าไม่ปันผลไหม กองทุนประเภท Trigger Fund คืออะไร ดีไหม น่าสนใจไหม หรือกองทุนนี้น่าสนใจแต่ NAV ราคาสูงไปแล้วควรไล่ซื้อดีไหม
มาดูกันครับ
- แยกไม่ออกระหว่าง บลจ. และ บล.
บลจ. คือบริษัทจัดการกองทุนรวม มีหน้าที่บริหารเงินให้นักลงทุน เสนอขายได้แต่กองทุนของตัวเองเท่านั้น
บล. คือ บริษัทหลักทรัพย์ ไม่ติดข้อจำกัดในการนำเสนอกองทุนให้กับลูกค้า กองไหนน่าสนใจสามารถเสนอขายได้ - บลจ. ปิดตัว เงินต้นจะหายไหม
ไม่หายอย่างแน่นอน … เพราะทรัพย์สินของนักลงทุนจะถูกแยกออกไปต่างหาก บลจ.มีหน้าที่แค่ดูแลเงินลงทุนให้กับนักลงทุนเท่านั้น (**ต้องเป็น บลจ. ที่ถูกกฏหมายเท่านั้น)
- กองทุนที่ปันผล ดีกว่ากองทุนที่ไม่ปันผล
ไม่เสมอไป … กองทุนที่ปันผล จะได้รับเงินปันผลระหว่างทางที่ลงทุน เงินปันผลถือเป็นรายได้ต้องเสียภาษี แต่กองทุนที่ไม่ปันผล จะนำเงินปันผลที่ลูกค้าสมควรได้กลับไปลงทุนต่อ ซึ่งตรงนี้จะไม่เสียภาษี - กองทุนเป้าผลตอบแทน (Trigger Fund)
กองทุนระยะสั้นที่มีการตั้งเป้าหมายไว้ แต่ไม่ได้มีการประกันว่าจะต้องได้ ตรงนี้ต้องระมัดระวัง
- NAV ไม่ได้บอกความถูกแพงของกองทุน
NAV ยิ่งสูงแสดงว่าที่ผ่านมาผู้จัดการกองทุนบริหารได้ดี ทำให้มูลค่าของกองทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจจะเปิดดำเนินงานมาหลายปีแล้ว
ในขณะเดียวกัน ถ้า NAV ต่ำๆ แสดงว่ากองทุนนั้นทำผลงานได้ไม่ดีเท่าไร หรือพึ่งจะเปิดดำเนินงานได้ไม่นาน
ดังนั้น NAV ไม่ได้บ่งบอกความถูกแพง ของกองทุนนั้นๆ
สิ่งสำคัญคือ นักลงทุนที่กำลังจะซื้อกองทุนต้องทำการบ้าน และศึกษาให้เข้าใจว่ากองทุนนั้นลงทุนในสินทรัพย์ชนิดไหน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีการปันผลหรือไม่ และค่าธรรมเนียมเป้่นอย่างไร
ส่วนตัวเคยเข้าไปอยู่ในกลุ่มๆหนึ่ง เป็นกลุ่มชื่อหุ้น ตามด้วยคำว่า “Fanclub” ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นแหล่งรายย่อยรวมตัวกัน ทั้งมือใหม่ มือเก่า
ที่น่าตกใจ คือ มีเช็คเงินปันผลจากหุ้น … เข้ามา คนก็มาตั้งโพสถามว่า
- ได้เช็คมาแล้ว ทำยังไงต่อ ?
- ทำไมคำนวนเงินปันผลได้แล้วไม่ตรง ? (เพราะต้องหักภาษี 10% ด้วย)
- อยากให้โอนเข้าบัญชีอัตโนมัติ ทำอย่างไร ?
- จะโอนเข้าพอร์ตหุ้น ทำอย่างไร ?
- ทำไมวันนี้หุ้นถึงลง ?
- ทำไมวันนี้หุ้นถึงขึ้น ?
อ่านแล้วก็พอเข้าใจได้ว่าเป็นมือใหม่ แต่จริงๆแล้วเรื่องพื้นฐานเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้อง “เข้าใจ” อยู่แล้ว ถ้าไม่เข้าใจจะเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
… หากเราคิดจะ “ทำเงิน” จากสิ่งใด โอยมองแค่โอกาส และกำไรเพียงอย่างเดียว นั้นคือเรากำลังติดกับดัก หรือที่ภาษาชาวบ้านคือ “แมงเม่า” ในตลาดหุ้นนั้นเอง
เราจำเป็นจะต้องมองความรู้ที่ตนเองมีก่อน ถ้าเราไม่มีความรู้เลย เราจะโชคดีทำเงินจากการลงทุนนั้นๆจากคนที่เขาเป็น “มืออาชีพ” ได้อย่างนั้หนรือ
เพราะเราต้องไม่ลืมว่า ในตลาดหุ้น หรือตลาดอื่นๆที่ใหญ่กว่า มีกองทุน มีมืออาชีพ มีนักคณิตศาสตร์ มีนักเทคนิเคิล ที่มีความรู้ ความสามารถเป็นอย่างมาก
เราจะ “โชคดี” ได้ตลอดไป แบบนั้นหรือ ?
เราอาจจะกำไรจากการจองซื้อหุ้น IPO
แต่เมื่อเราได้กำไรแล้ว เราก็จะทำอีก เพราะเรารู้สึกว่า “มันง่าย”
ครั้งแรกลง 1 แสน ได้กลับมาแสนห้า
ครั้งที่สอง ลง 2 แสน ได้กลับมา 3 แสน
ครั้งที่สาม ทุ่มหมดตัว 5 แสน สุดท้ายเหลือแสนเดียว … เพราะเราไม่ได้โชคดีไปตลอด
ดังนั้น ก่อนคิดจะทำเงินจากสิ่งใด ควรมีความรู้ในสิ่งนั้นก่อนนะครับ เข้าใจภาพรวม เข้าใจพื้นฐาน เข้าใจกลไก